高周波焼入れ
誘導電流による選択硬化 金属部品の表面を硬化させる方法で、金属の外側のコーティングが内側の金属よりも強くなります。 表面硬化 外側は大変ですよ。 しかし、内側のコアも硬くなりません。 ワーク表面を素早く加熱することで 高周波電流を流すと、ワークピースは 3 ～ 5 秒以内に臨界点以上の温度に達し、その後冷却されます。 ウォーターミストを噴霧することで 硬化面の深さは約2mm、高周波焼入れに使用する鋼材の炭素含有量は0.4～0.6%で、焼入れ時間をスケジュール通りにコントロールできればこの方法が適しています。 結晶のサイズが大きくなっていきます。 ワークの反りや脱炭 そんな事が起こる可能性は無いでしょう。
การชุบแข็งเฉพาะส่วนด้วยกระแสเหนี่ยวนำ (Induction Hardening)
การชุบแข็งเฉพาะส่วนด้วยกระแสเหนี่ยวนำ เป็นวิธีการชุบแข็งที่พื้นผิวของชิ้นส่วนโลหะผิวเคลือบภายนอกของโลหะจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าเนื้อโลหะภายใน การชุบผิวแข็ง จะแข็งแต่ภายนอก แต่ในแกนภายในจะไม่แข็งไปด้วย โดยการให้ความร้อนผิวชิ้นงานอย่างรวดเร็ว ด้วยกระแสความถี่สูงทำให้ชิ้นงานมีอุณหภูมิเหนือจุดวิกฤติภายในเวลา 3 – 5 วินาที แล้วทำให้เย็นตัว โดยการพ่นละอองน้ำ ความลึกของผิวชุบแข็งที่ได้มีค่าประมาณ 2 มม. เหล็กกล้าที่จะนำมาทำ Induction Hardening ควรมีปริมาณคาร์บอน 0.4 – 0.6 % วิธีนี้ถ้าควบคุมเวลาที่ใช้ในการชุบแข็งได้ตามกำหนด การที่ผลึกจะขยายขนาดขึ้น การบิดงอของชิ้นงาน หรือ De-Carburization จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น
ワークを焼き入れた後、焼き戻し（テンパリング）を行いますが、焼き入れをした鋼は必然的に内部に応力（ひずみ）がたまり、硬度が上がります。 しかし、鋼には靭性（延性）という特性が欠けているため、使用には適していません。 影響があれば 鉄片は割れる可能性があります。 そのため、焼戻しにより特性を向上させる必要があります。 炉内で約200℃～400℃の低温で焼成し、1～3時間程度放置した後、ワークを取り出して常温まで冷却します。 鋼は靭性特性が向上するため、この問題を解決および軽減するには
หลังจากเราชุบแข็งชิ้นงานเราจะนำไปอบคืนตัว (Tempering) กระบวนการนี้จะกระทำภายหลังกระบวนการชุบแข็ง เหล็กที่ผ่านการชุบมาแล้วย่อมจะเกิดความเครียด (strain) ขึ้นภายใน และมีความแข็งเพิ่มขึ้น แต่เหล็กจะขาดคุณสมบัติทางด้าน ความเหนียว (Ductility) ทำให้ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้งาน เพราะถ้าเกิดมีการกระแทก ชิ้นเหล็กอาจจะแตกร้าวได้ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงคุณสมบัติเสียใหม่โดยการอบคืนตัว โดยวิธีการเผาภายในเตาที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 200 ๐C – 400 ๐C ทิ้งไว้ประมาณ 1 – 3 ชั่วโมง จากนั้นนำชิ้นงานออกมาปล่อยให้เย็นตัวลงในอุณหภูมิปกติ เหล็กจะมีคุณสมบัติด้านความเหนียวดีขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขและลดปัญหาดังกล่าว
材料硬さ試験（Hardness Test）
材料の硬さを測定します。 工業用金属加工においては、その素材の総合的な特性を示す基本的な値とされており、K.D.HEAT TECHNOLOGYでは素材の硬さ試験を非常に重要視しています。 これには、適切なツールを使用したテストが必要です。 専門家である KD Heat チームの監督下にあります。 これにより、ワークピースも最大限の効率で使用できるようになります。
จะเห็นว่า K.D.HEAT TECHNOLOGY ให้ความสำคัญกับการทดสอบความแข็งของวัสดุเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นกระบวนการที่เริ่มทำก่อนจะได้ข้อสรุปเรื่องวัสดุในชิ้นงานจริงเสียอีกผลของการทดสอบที่ได้จะถูกนำมาวิเคราะห์และหาข้อสรุป ส่งผลไปในทางที่ดีให้ผู้ประกอบการสามารถหยิบวัสดุไปใช้งานในการผลิตได้อย่างเหมาะสมตามวัตถุประสงค์และการทำงานได้ในขั้นตอนต่อไปมีเปอร์เซ็นการเกิดความเสียหายน้อย รวมทั้งทำให้นำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
